เทศน์เช้า วันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม วันนี้วันสำคัญ วันนี้วันพระ วันพระเรามาทำบุญตักบาตรของเรา เรามาทำบุญตักบาตรของเราเพราะเราเป็นชาวพุทธๆ ไง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แก้วสารพัดนึก แก้วสารพัดนึกนี้เป็นสัจจะเป็นความจริง
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม เป็นสงฆ์องค์แรกของโลก
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หมายถึงพระอริยเจ้า หมายถึงสัจจะความจริงในรัตนตรัยของเรา แต่เรามีศรัทธาความเชื่อในพระพุทธศาสนาเราก็มาบวชพระ เวลามาบวชพระขึ้นมาเป็นสมมุติสงฆ์ๆ สมมุติสงฆ์มาขัดมาเกลาไง
วันนี้วันพระ มาขัดมาเกลา มาทำหัวใจของเราให้เป็นสงฆ์ขึ้นมาในหัวใจของเรา ถ้ามันจะเป็นสงฆ์ขึ้นมาในหัวใจของเรา วันพระๆ เวลามันทุกข์มันร้อนขึ้นมา พระพุทธศาสนา เวลามนุษย์เกิดมาปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ แล้วความสุขจะหาได้ที่ไหน
เวลาความสุขในพระพุทธศาสนาก็บอกว่าให้ทำความสงบของใจ ถ้าใจสงบระงับแล้วมันไม่มีความเครียด มันไม่มีความวิตกกังวล มันไม่มีสิ่งใดกดถ่วงหัวใจ จะเป็นความสุขๆ นี่ความสุขในพระพุทธศาสนาไง
แต่เวลาเราเป็นโลก เวลาเป็นโลกเราแข่งขันกันทางโลก การแข่งขันนั้นทำให้โลกเจริญนะ คำว่า “เจริญ” คือแข่งขัน คือการใช้สติใช้ปัญญาของเรา เวลามาทำบุญกุศลขึ้นมาก็มีการแข่งขัน การแข่งขัน แข่งบุญ แข่งอำนาจ แข่งวาสนา ทางโบราณเขาบอกว่าแข่งกันไม่ได้ๆ
เวลาเราแข่งกัน เราแข่งขันกันด้วยสติด้วยปัญญา สติปัญญาขึ้นมาเราก็ฝึกฝนของเราขึ้นมา เราฝึกฝนลับคมของปัญญาให้มันคมกล้าขึ้นมา แต่อำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน ถ้าอำนาจวาสนาของคนไม่เหมือนกัน เราจะไปแข่งขันกับเขา เราจะมีอะไรไปแข่งขันกับเขา
แต่ถ้าปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ถ้าปรารถนาความสุข เกลียดความทุกข์ ในพระพุทธศาสนาสอนให้ทำความสงบใจเข้ามา ถ้าใจสงบเข้ามา เราเกิดเป็นมนุษย์ไง มนุษย์เป็นสัตว์สังคม เราอยู่กับสังคม ความดีงามของสังคมๆ เราก็ไม่ไปยุไม่แหย่ ไม่ไปทำให้มันแตกมันแยก ให้สังคมเขาสามัคคีกัน เขารักกัน เขาเป็นความสมานสามัคคีกัน แล้วทำคุณงามความดีความชั่วมันก็เป็นนิสัยของคน
ถ้าสังคมที่ไหนเป็นสังคมที่ดีงาม ผู้ที่ยุแหย่ให้มันแตกแยกขึ้นมาเพื่อหวังผลประโยชน์ แต่สังคมใด ชุมชนใดเขาเป็นชุมชนที่สามัคคี เขาเป็นชุมชนที่ดีงาม เขามีการเสียสละกัน เดี๋ยวเถอะ มันไปยุไปแหย่น่ะ ไอ้คนมันอยากดังอยากใหญ่ อยากหน้าใหญ่ มันก็ไปยุไปแหย่ไปทำให้มันแตกแยก แตกแยกไปแล้วนะ พอมันแตกแยกแล้วมันก็เป็นเหยื่อของคนที่ฉลาดที่มาหยิบฉวยเอาประโยชน์ไง นี่ถ้ามันเป็นประโยชน์ๆ ไง
ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมา ความเป็นประโยชน์ ดูสิ นักเรียนตั้งแต่อนุบาล ตั้งแต่ประถมขึ้นมา เขาก็ฝึกเขาก็หัดไง ให้มันรู้จักโลกไง
นี่ก็เหมือนกัน เวลาเป็นสังคม สังคมที่ดีงามๆ โลกนี้ สิ่งในโลกนี้เป็นอนิจจังทั้งสิ้น ประวัติศาสตร์สิ่งที่ดีงามมา สภาวะแวดล้อมที่ดีงามขึ้นมา ในปัจจุบันนี้ก็เพราะมนุษย์มาใช้มาสอย มนุษย์ใช้เป็นการธุรกิจ ธุรกิจอาหาร ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของอาหารในห้างน่ะทิ้ง หมดอายุ ทิ้ง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของอาหารนะ อาหารที่ดีๆ ในห้างนั่นน่ะ พอหมดอายุ ทิ้งๆๆ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ของผลิตภัณฑ์ของโลก ธุรกิจ
แต่ถ้ามันเป็นนะ เดี๋ยวนี้เขาคิดได้ เขาพยายามจะตั้งสมาคมต่างๆ ขึ้นมา ออกกฎหมายมาว่าห้ามทิ้งๆ ให้เสียสละให้กับเทศบาล ให้เสียสละกับชุมชนใด ชุมชนใดเขามีคนทุกข์คนจนคนขาดแคลน เขาจะไปเจือจานพวกนั้น นี่เวลาเขาคิด กฎหมายมันมาทีหลังไง มันมาทีหลังต่อเมื่อเราคิดได้ เราเห็นได้ว่ามันออกกฎหมายมาๆ
นี่ก็เหมือนกัน ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖๑ องค์ รวมทั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เธอกับเราพ้นจากบ่วงที่เป็นโลกและเป็นทิพย์ เธออย่าไปซ้อนทางกัน โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก โลกนี้เขาเร่าร้อนนัก
เวลามีพระมาบวชมาเรียนขึ้นมาเพราะเห็นความสุข ความสงบ ความระงับในความเป็นจริง แล้วพระที่บวชมา บวชมาเพื่อสังคมโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บัญญัติกฎหมาย
วินัยๆ มันเกิดมา เกิดมาจากพระมีมากขึ้น แล้วพระมีทำความผิดมากขึ้น มาชิงดีชิงชั่วกันไง ชิงดีชิงชั่วขึ้นมาก็บัญญัติกฎหมายๆ วินัยๆ ไง แล้วอนุบัญญัติ บัญญัติแล้วก็ยังแถ แถก็บัญญัติซ้ำ บัญญัติซ้ำ บัญญัติซ้ำไง บัญญัติซ้ำขึ้นมา นี่ธรรมและวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เรามาทำคุณงามความดีกันนะ เราทำคุณงามความดี ทำคุณงามความดีเพื่อเรา
มนุษย์เป็นสัตว์สังคมนะ สังคมเขาดีงามอย่างไรเราก็เห็นด้วย เราเห็นด้วยกับความดีงามนั้น สังคมเขาจะเป๋ไปมันเรื่องของสังคม เรื่องของชุมชน ถ้าเรามีสติปัญญา ค้านไว้ในหัวใจ ค้านไว้ในหัวใจ เราไม่ยุ่งกับเขา เราจะทำคุณงามความดีของเราๆ
เราเป็นมนุษย์มันต้องพึ่งพาอาศัยกัน มันจะอยู่ด้วยตัวคนเดียวไม่ได้ ถ้าอยู่ด้วยตัวคนเดียว เศรษฐกิจพอเพียงๆ เขาพยายามทำให้ตัวเองอยู่ได้ ถ้าตัวเองอยู่ได้ สร้างของเขาขึ้นมา เศรษฐกิจพอเพียงมันต้องพอเพียงจากหัวใจมาก่อน ถ้าหัวใจของคนที่แข็งแรง หัวใจของคนที่ดีงามมันรู้จักประหยัดรู้จักมัธยัสถ์ มันไม่วิตกกังวลในเรื่องปัจจัย ๔
เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียงคือว่าปัจจัย ๔ มันพร้อม แต่เศรษฐกิจมันจะพอเพียงได้มันต้องแผ่นดินธรรมๆ แผ่นดินธรรมคือหัวใจที่เป็นธรรม เราสมัครใจ เรามีความเห็นที่ดีงาม
คนเรามันจะดีได้ มันดีได้ทัศนคติก่อน ถ้าทัศนคติก่อน มันทำขึ้นมา มันอดมันทนขึ้นมา มันรู้จักประหยัดมัธยัสถ์ขึ้นมา นั่นเศรษฐกิจพอเพียง ถ้าเราอยู่ของเราได้ แต่เราอยู่ของเราได้อย่างไรมันก็เป็นสังคม สังคมที่เขาทุกข์เขายาก คนที่ยืนได้เขาจะมาพึ่งพาอาศัย เวลาพึ่งพาอาศัยเขาช่วยเหลือเจือจานกันไง นี่การช่วยเหลือเจือจานของสังคมไง
แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโกน่ะ ความสุขความทุกข์มันของเรานะ
สังคมจะดีงามขนาดไหน สังคมเขาดีงาม เขามีความสุขนะ ในบ้านเรามีแต่ความเดือดร้อน ในบ้านเรานะ มีการไว้วางใจกันไม่ได้ คนใกล้ชิดคนใกล้ตัวเราพูดกันไม่รู้เรื่อง แล้วเวลาเรานอนไม่ต้องการคนใกล้ชิดเราเลย หัวใจเราเองเลยมันร้อนมันรน
นี่ไง เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไง สอนฆราวาสธรรม ก่อนนอนให้สวดมนต์ทำวัตรเสียก่อน สวดมนต์เสียหน่อยหนึ่ง แล้วก็ถ้ามีเวลาก็นั่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ เพราะอะไร เพราะมันจะทบทวนว่าวันนี้ได้ทำอะไรมาบ้าง วันนี้ได้ไปเบียดเบียนใครบ้าง วันนี้ได้ทำความดีไว้ที่ไหนไว้บ้าง วันนี้ เพราะอะไร
พอมันนั่งหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันหายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธแต่ปาก แต่ความคิดมันคิดไปหมดน่ะ มันคิดไปร้อยแปด ถ้ามีเวลาก็นั่งสมาธิเสียหน่อยหนึ่ง นั่งสมาธิเสียหน่อยหนึ่งเพราะพุทธะไง
วันนี้วันพระๆ เวลาเรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เวลาหลวงตาท่านบรรลุธรรม ท่านบอกเลย พุทธ ธรรม สงฆ์รวมเป็นหนึ่งเดียวในหัวใจของตน หัวใจเราเป็นทั้งพุทธะ เป็นทั้งสัจธรรม เป็นทั้งสังฆะ เป็นอริยทรัพย์ เป็นจากปัจจัยภายใน
เวลาเราสวดมนต์ของเราขึ้นมา เราก็หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธมันอยู่ไกลมาก มันอยู่ตั้ง ๒,๐๐๐ กว่าปีตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าน่ะ พุทธวิสัย ๒,๐๐๐ กว่าปีมาแล้วไง
แต่ตอนนี้ ๒๕๖๒ หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ มันคิดแต่เรื่องไอที เรื่องคอมพิวเตอร์ เดี๋ยวนี้มันเจริญ เวลามันคิด
เพราะนั่นมัน ๒,๐๐๐ กว่าปี มันห่างมา ๒,๐๐๐ กว่าปี มันไม่เป็นปัจจุบันเลย เราก็พยายามของเราไง พยายามของเรา หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ พยายามทำของเราได้มากได้น้อยแค่ไหน แต่ทำแล้วมันได้ยาก ทำได้ยากจริงๆ ทำได้ยากเพราะพระพุทธศาสนาสอนให้เอาชนะตนเอง สอนให้เอาชนะใจของตน
ใครจะสอน ใครจะบังคับขนาดไหน นั้นเพราะเราเข้าสังคมแล้วสังคมมันบีบคั้น สังคมมีกติกา เราต้องอยู่ตามนั้น แต่เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เรารับมาแล้ว รับศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ศีล สมาธิ ปัญญา
ศีลรับมาแล้วก็เป็นศีล แล้วเวลาปฏิบัติแล้วเป็นศูนย์ เป็นศูนย์เพราะมันงง มันเข้าอะไรไม่ได้เลย เพราะอะไร เพราะรับต่อหน้ามันเป็นกิริยา มันเป็นภายนอก มันเป็นที่เกาะ เพราะเป็นความรู้สึกนึกคิด เวลาจะเอาความจริงขึ้นมา ความรู้สึกของเรามันจะไปเกาะที่ไหน เวลาจะไปเกาะที่ไหนมันก็เกาะที่ความคิดนั้นน่ะ ความคิดมันร้อยแปดไป เวลาจะทำให้มันได้มันก็ต้องฝึกหัดๆ มา มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนด้วย ถ้าอำนาจวาสนาของคนเขาทำได้ง่าย บัว ๔ เหล่า
บัว ๔ เหล่า ถ้าบัว ๔ เหล่า บัวที่ไม่มีอำนาจวาสนามันก็เป็นเหยื่อของเต่า เหยื่อของเต่าก็เหยื่อของธาตุอารมณ์ไง เหยื่อของความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาความโลภ ความโกรธ ความหลงของเขา เขามีวาสนาของเขา ทำบุญของเขามา ไอ้คนที่ขี้ทุกข์ขี้ยากทำไมมันร่ำมันรวย ไอ้เราเป็นคนดี๊ดี ถือพรหมจรรย์ ขัดสนเข็ญใจ
นั่นมันก็เรื่องภายนอก มันเรื่องที่หัวใจดีงาม เวลาดูคนไม่ให้ดูที่เปลือกนอก ให้ดูที่ในหัวใจของคน หัวใจของคนที่ดีงาม ความคิดดีงามขึ้นมา ดูสิ คนที่ไม่มีความเครียด คนที่หัวใจปลอดโปร่ง เขาแจ่มใส หน้าตาเขาดีงาม มันเป็นประโยชน์ในหัวใจของเขาไง
จิตที่เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีต้นไม่มีปลาย เราเวียนเกิดเวียนตายกันมาร้อยแปดพันเก้า
วิทยาศาสตร์พยายามศึกษาเลย มนุษย์มาจากไหน มนุษย์เกิดมาอย่างไร
แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เป็นองค์ที่ ๔ พระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้องค์ที่ ๕ สัมพุทเธ พระพุทธเจ้าดั่งเม็ดหินเม็ดทราย แต่ละภพแต่ละชาติไง
แต่วิทยาศาสตร์พยายามสืบค้น สืบค้นกันเต็มที่เลย เพราะวิทยาศาสตร์มันเป็นทฤษฎี เป็นวัตถุที่จะต้องวิจัย ต้องมีเหตุมีผล
แต่เวลาประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาทุกข์มันเหตุผลแท้ๆ เลยนะ เวลากิเลสมันบีบหัวใจนี่เหตุผลแท้ๆ เลย แล้วหน้าชื่นอกตรม หน้าชื่นบาน แต่หัวใจมันอกตรม นี่ไง เหตุผลแท้ๆ เลยน่ะ ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก เวลาทุกข์น่ะทุกข์ชัดๆ เลย แต่หน้าชื่นอกตรมไง ทางเปลือกนอก โอ๋ย! มีความสุขๆ เพราะมันเสียหน้าไม่ได้ไง
แต่เวลาพระเรามักน้อยสันโดษ ใครได้มามากน้อยแค่ไหนจะมักน้อยสันโดษ เพราะอะไร เพราะต้องการรักษาหัวใจของตน หัวใจของตนมันรักษายาก รักษายาก แม้แต่ความรู้สึกนึกคิดมันก็เต็มที่อยู่แล้ว แล้วอะไรมากระทบหูกระทบตาขึ้นมา แล้วเวลามันคิดไง
เวลาเราอยู่บ้านตาด หลวงตาท่านไม่รับกิจนิมนต์ ท่านไม่ให้มีกิจนิมนต์นะ ถ้ามีกิจนิมนต์ไหนท่านเสียสละไปองค์เดียว ถ้ามันจำเป็นนะ ใครมีบุญคุณต่อท่าน ใครมีบุญคุณต่อวัด ท่านไปองค์เดียว ท่านบอกว่ารักษาพระไว้ เวลาออกไปแล้วมันไปเห็นสีเขียวๆ แดงๆ ขึ้นมา แล้วเดี๋ยวมันกลับมาล้างบาตรเสร็จ มันจะเดินจงกรมขึ้นมา ไม่คิดเป็นไปไม่ได้หรอก เวลามันกระทบ
นี่เวลาครูบาอาจารย์ผู้ใหญ่ที่เป็นพระ ท่านสวงน ท่านรักษา สงวนรักษาเพราะอะไร ท่านเห็นโทษของกิเลสในใจของสัตว์โลก ไม่มีใครอาจหาญเข้าไปเผชิญหรอก อู้ฮู! ลืมตาเถ่อ แล้วเข้าไปเผชิญกับโลก แล้วบอกว่าปฏิบัติสิ แน่จริงปฏิบัติที่นี่ ไอ้พวกขี้ขลาด หลบๆ ซ่อนๆ
เขาฉลาด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่โคนต้นโพธิ์นะ ไอ้ที่ตาเถ่ออยู่กับสังคมโลกนั่นน่ะ นั่นมันเป็นปัญหาสังคม สังคมทุกสังคมมีทั้งดีและเลว สังคมในประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ห้าหกพันปีน่ะ คนที่เป็นคุณงามความดี คนที่สร้างคุณงามความดีไว้ เขาก็มีชื่อเสียงของเขา ไอ้คนที่ทำชั่วๆ มันก็ชั่วแล้วชั่วเล่า ชั่วอยู่ในหัวใจอันนั้น มันเป็นสัจจะเป็นความจริงอยู่ในหัวใจอันนั้น แต่หลบแต่ซ่อนแต่ปิดไว้ เพราะความชั่วเอามาโชว์กันไม่ได้ เอาแต่เปลือกนอกมาโชว์กัน มันก็ความชั่วในหัวใจทั้งนั้นน่ะ แล้วเถ่อ เถ่อ จะอวดโลก
เป็นไปไม่ได้หรอก ไม่มีใครเหนือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กรรมฐาน ๔๐ ห้อง ทำความสงบ ๔๐ วิธีการ เพราะสัตว์โลกเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันได้สร้างเวรสร้างกรรมมาแตกต่างกัน แต่ละคนได้สร้างเวรสร้างกรรมมาไม่เหมือนกัน แล้วเราไม่ต้องไปน้อยเนื้อต่ำใจ ไปตีโพยตีพายกับอะไรทั้งสิ้น ที่เป็นเราๆ อยู่ทุกวันนี้ ทำมาเองทั้งนั้น พอทำมาเองทั้งนั้น เวลามันทุกข์มันยากก็สาธุ ย้อนกลับมาที่ต้นเหตุ ย้อนกลับมาที่ในหัวใจของตน
วันพระๆ พุทธะ ธาตุรู้คือหัวใจของเรา มันจะมีสิ่งใดเกิดขึ้น มีสติปัญญาวางให้ได้ มีสติปัญญาให้อยู่กับปัจจุบันนี้ อะไรที่มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราแก้ไขของเรา เราพยายามแก้ไขของเรา ถ้าหัวใจมันยอมรับ แล้วหัวใจมันเห็นความดี มันแก้ไขได้
หัวใจไม่ยอมรับมันตีโพยตีพาย ทุกข์นะ น้ำขุ่นๆ เวลาเดินลงไปในน้ำ น้ำมันขุ่นหมดน่ะ เราไม่เห็นอะไรหรอก ถ้าน้ำมันใสนะ เราจะรู้เลยว่าข้างตัวเรามันมีสัตว์ร้ายอะไรเข้ามาหรือไม่
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจเราถ้ามันปล่อยวาง ถ้ามันยอมรับได้ มันพิจารณาได้ว่าอะไรดี อะไรควร อะไรไม่ควร แล้วจะทำสิ่งใดไม่ทำสิ่งใด มันมีสติปัญญารักษาหัวใจของตน แล้วหัวใจนี้มันก็ไม่ทุกข์ไม่ยากจนเกินไปไง
แต่ถ้าน้ำมันขุ่นเลย น้ำมันขุ่นนะ เราทำอะไรไม่ได้เพราะน้ำมันขุ่นไง นี่ก็เหมือนกัน อารมณ์มันขุ่นมัวไง อารมณ์มันมีแต่กดทับหัวใจไง มันมีแต่ความทุกข์ความยากไง แล้วก็ตีโพยตีพายเท่าไรน้ำมันก็ยิ่งขุ่นมัวมากขึ้น ขุ่นมัวมากขึ้น เราก็ไม่รู้ไม่เห็นอะไรเลย แล้วเราก็ตีโพยตีพาย ทำดีไม่ได้ดี ทำบุญไม่ได้บุญ
บุญมันลอยมาถึงหน้า บุญน่ะมันลอยมาอยู่ตกหน้าเราเลย แต่เราไม่รู้จักหยิบใช้ เราไม่รู้จักมันไง
นี่ไง ไปวัดไปวา วัดวาเขาสอนอะไร สอนตั้งสติใช่ไหม หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธใช่ไหม นั่นล่ะพยายามทำน้ำที่มันขุ่นมัวให้มันใส ให้มันใส มันเห็นเหตุเห็นผล แล้วมันก็ยอมรับความจริงอันนั้น แล้วมันแก้ไขสิ่งนี้ได้ไง แล้วแก้ไขสิ่งนี้ต้องไปพึ่งใคร เราเป็นหมอตัวเราเอง เราเป็นหมอรักษาหัวใจเราเอง
เราไม่ต้องไปหาหมอ “หมอหายไหม หมอรักษาได้ไหม” หมออยู่นั่นน่ะ แต่เราตั้งสติไว้ ธรรมโอสถ เราจะรักษาหัวใจของเรา เราจะดูแลหัวใจของเรา แล้วทำหัวใจของเราไง
ถ้าโดยธรรมชาติโดยปุถุชนทั่วไปก็คาดการณ์ทั้งสิ้น คาดการณ์ไปหมดเลย จะเป็นอย่างนั้นๆ เราก็เป็นมาทั้งสิ้น แล้วเมื่อก่อนบวชใหม่ๆ โอ้โฮ! รุนแรงนะ เอาเต็มที่เลยนะ แต่ไม่ได้อะไร รุนแรงเป็นพลังงานไปเฉยๆ
แต่พอมันนานเข้าๆ ได้เห็นความผิด ได้เห็นความรุนแรงแต่มันขาดปัญญา ความเข้มข้นแต่ไม่มีสิ่งใด มันก็ได้ดีอยู่พักหนึ่งแล้วก็เสื่อม เราก็ทำมา เพราะคำว่า “เราทำมา” เราถึงสงสารคนที่ฝึกหัด เพราะมันเป็นโลกกับธรรม
โลกคือความรู้สึกนึกคิด วิทยาศาสตร์พูดได้ทุกคนน่ะ ไอน์สไตน์ ทฤษฎีอะไรก็พูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่หัวใจมันไม่รู้จัก สมาธิเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ความสงบเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ มึงก็อ้างเอาทั้งนั้นน่ะ มึงสันนิษฐาน เดา มึงสันนิษฐานทั้งนั้นน่ะ แล้วสันนิษฐานแล้วไม่เป็นความจริง
ถ้าเป็นความจริง อึ๊บ! ไม่พูดเลย จะพูดอย่างไรวะ จะพูดอย่างไร
ไอ้ที่พูดๆ อ้าปากโฆษณาอยู่นั่นน่ะ สันนิษฐานทั้งนั้นน่ะ มันมีแต่ชื่อ ไม่มีความจริงหรอก
ถ้าเป็นความจริงๆ เราทำของเรา ถ้าผู้ที่ประพฤติปฏิบัติแล้ว เห็นใจมากนะ เอาชนะหัวใจแสนยาก แต่ถ้าเอาชนะได้ โอ้โฮ! โอ้โฮ! เลยนะ นี่ไง พุทธะ หัวใจที่มีคุณค่า
หัวใจนี้มีคุณค่ามาก แต่เพราะอวิชชาคือความไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักอารมณ์ตัวเอง ไม่รู้จักน้ำขุ่น น้ำใส แล้วเวลาคิดก็กูๆๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าคิดน่ะถูกหมด ไม่รู้ว่าน้ำขุ่น น้ำเสีย หรือน้ำดี ถ้าน้ำดี คิดดีไง คิดแล้วสุขสงบร่มเย็น น้ำเสียคิด คิดแล้วทุกข์แล้วยาก น้ำขุ่น น้ำข้น คิดแล้วมัวเมา มัวเมาทั้งสิ้น
ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด คนที่เกิดมาแล้วต้องสิ้นชีวิตไปทุกๆ คน เราจะอยู่ค้ำฟ้าใช่ไหม เราไม่รู้จักอะไรเลยหรือ สัจธรรมสอนอย่างนี้ สอนหัวใจของเรา เกิดมาแล้วทำคุณงามความดีของเรา ทำคุณงามความดีของเราเพื่อหัวใจของเรา
ใครจะติใครจะฉิน หลวงตาท่านพูดประจำ ทำความดีมีแต่คนถากมีแต่คนถาง มีแต่คนยุคนแหย่ ถ้าไปชั่วแบบมัน ชั่วไม่ได้เท่ามัน มันชอบ
แล้วเราทำความดีของเราๆ เพราะเราเป็นชาวพุทธ เราเชื่อในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราเชื่อคุณธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราพยายามจะประพฤติปฏิบัติ เราพยายามจะควบคุมใจของเราด้วยสติด้วยปัญญาของเรา ให้หัวใจเราทำคุณงามความดีกับเราๆ ชาตินี้ก็พยายามทำของเรา เพราะชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด มันไม่มีสิ่งใดดีกว่าหัวใจของเรา
เพราะเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอนถึงพุทธะในหัวใจของเรา สมบัติของเรา อัตตะของเรา เวลามันเกิด เวลาตายอยู่กับเรา เราตายเอง เราเกิดเอง เราเอาไปเอง ไม่ต้องให้ใครมาเคาะโลง ไม่ต้องให้ใครมาสั่งมาสอน ไม่ต้องให้ใครมาควบคุม เราจะทำของเรา ทำของเราด้วยหัวใจของเรา ให้เป็นชาวพุทธโดยการกระทำของเรา เป็นลูกศิษย์พระกรรมฐาน เอวัง